ในสมัยเริ่มแรก
การดูดไขมันเป็นแบบ SAL โดยอาจจะมีการฉีดยาชาร่วมกับยาอะดรีนะลีน
(adrenaline)
ซึ่งทำหน้าที่ลดการมีเลือดออก
ณ บริเวณที่ทำ
ปริมาณยาที่ใช้ก็ไม่มากนัก
เป็นแบบเดียวกับการทำศัลยกรรมเสริมสวยอย่างอื่น
(WET technique)
ผลจากการสังเกตของแพทย์(ก็อีกนั่นแหละ
แพทย์ฝรั่งไม่ใช่แพทย์ไทย)
เขาพบว่าสิ่งที่ดูดออกมาไม่ได้มีแต่ไขมัน
ท่อดูดไขมันยังเข้าไปทำลายเส้นเลือดเล็กๆในชั้นใต้ผิวหนัง
ทำให้ผู้ป่วยจะเสียเลือดไปด้วย
และอาจมากถึง 40%
ของปริมาณของเหลวที่ดูดออกมาทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมัยแรก
การดูดไขมันแต่ละครั้งทำได้ไม่มาก
แถมต้องให้เลือดอีก
ด้วยความชาญฉลาดของแพทย์(ฝรั่งอีกแหละ)
เขาเลยทำสารละลายอันประกอบด้วยน้ำเกลือจำนวนมากบวกกับยาชาและอะดรีนะลีนขนาดสูง
ใช้ฉีดบริเวณผิวหนังที่จะทำเสียจนพองบวมแน่นได้ด้วยน้ำ
สารละลายจำนวนมากๆนี้จะเข้าไปสร้างแรงดันทำให้เล้นเลือดมีขนาดเล็กลง
ตัวยาอะดรีนะลีนขนาดสูงก็ทำให้เส้นเลือดหดตัวอย่างมาก
การดูดไขมันเลยเสียเลือดน้อยลงมาก
กล่าวคือ
อาจมีเลือดผสมอยู่เพียง 1-5%
ของปริมาณของเหลวทั้งหมดที่ดูดออกมาได้
ยาชาก็ทำให้ผู้ป่วยไม่เจ็บป่วยไปถึงหลังผ่าตัด
ระหว่างผ่าตัดก็มีความต้องการใช้ยาดมสลบลดลง
ฟื้นจากการนอนหลับเร็วขึ้น
ถ้าสารละลายที่ฉีดเข้าไปมีปริมาณเท่าของของเหลวหรือไขมันที่ดูดออกมาได้
เราเรียกวิธีการนี้ว่า "SUPERWET
technique"
ถ้าสารละลายที่ฉีดเข้าไปมีปริมาณมากกว่าของเหลวหรือไขมันที่ดูดออกมาได้
เราเรียกวิธีการนี้ว่า "TUMESCENT
technique"
ปัจจุบันนี้
เป็นยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า
เทคนิค superwet และ tumescent
ทำให้มีการเสียเลือดน้อยมาก
ทำให้แพทย์สามารถดูดไขมันออกได้เป็นปริมาณสูงมากในแต่ละครั้ง
เช่น สูงถึง 5
ลิตรหรือมากกว่า
อย่างไรก็ตาม
เทคนิคใหม่ก็ไม่ได้ปราศจากปัญหา
แม้ว่าจะแก้ปัญหาเก่า
แต่ก็ได้สร้างปัญหาใหม่
คือ ภาวะน้ำเกิน
จากการที่ต้องฉีดสารละลายที่ว่าเข้าไปจำนวนมาก
ร่างกายก็ดูดซับเอาสารละลายจากผิวหนังเข้าสู่ระบบไหลเวียน
หากมากเกินไป
ผู้ป่วยก็ถึงขั้นน้ำท่วมปอด
หัวใจวาย
และเสียชีวิตได้
หรือถ้าดูดไขมันออกมากจนเพลิน
ผู้ป่วยก็กลับกลายเป็นขาดน้ำจนถึงขั้นช็อคจากไม่มีเลือดเพียงพอในระบบไหลเวียนของร่างกาย
เทคนิคการดูด
/
ระยะเวลาที่ใช้ / กลับไปด้านบนสุด |