ส่วนใหญ่แล้ว
เมื่อพูดถึงศัลยกรรมตกแต่งของคาง
มักจะหมายถึงการแก้ไขรูปร่างและขนาดของกระดูกคาง
มากกว่าจะทำอะไรกับผิวหนังเนื้อเยื่อที่คลุมคาง 1.
การเสริมกระดูกคาง - ใช้การตัดเลื่อนกระดูก
หรือเสริมด้วยคางเทียม
ซึ่งปัจจุบันก็ยังถกเถียงกันมากว่า
วิธีใดดีกว่ากัน
หมอบางคนก็ทำเฉพาะตัดเลื่อนกระดูก
บางคนก็เสริมด้วยคางเทียมเท่านั้น
บางคนก็ทำได้ทั้งสองอย่าง
บางคนก็ใช้ผสมผสานกันทั้งสองวิธี
ใครทำแบบไหน
ก็ว่าอีกแบบไม่ดี
2. การลดขนาดกระดูกคาง -
ใช้การตัดเลื่อนกระดูกเท่านั้น
ไม่แนะนำให้เหลากระดูกให้เล็กลง
เพราะมีข้อเสียหลายอย่าง
เช่น
เป็นไปได้ยากที่จะเหลากระดูกได้รูปร่างปกติแต่ขนาดเล็กลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องการลดขนาดอย่างมาก
บริเวณกระดูกที่เหลาจะมีเลือดออกซึมไปถึงระยะหลังผ่าตัด
ทำให้เกิดปัญหาตามหลังได้
กระดูกที่ถูกเหลาเองยังอาจงอกกลับมาได้
เป็นต้น
3.
การเปลี่ยนรูปร่างกระดูกคาง
โดยไม่เปลี่ยนขนาด -
ตัวอย่างเช่น
กรณีที่คางไม่อยู่ในตำแหน่งกลางอย่างปกติ
ทำให้เห็นได้ว่า
คางเบี้ยว
พบได้น้อยในคนปกติ
ส่วนใหญ่จะเกิดจากกระดูกกรามล่างหักมากกว่า
การรักษาที่แนะนำให้ใช้การตัดเลื่อนกระดูก
4. การเปลี่ยนความหนาของผิวหนังที่คาง
- ปัญหาในกลุ่มนี้พบน้อย
ที่พบได้ คือ
เนื้อเยื่อที่คลุมกระดูกหนากว่าคนทั่วไป
แต่เราแก้ไขอะไรได้น้อยกับตัวเนื้อเยื่อ
เพราะส่วนที่หนามักเป็นกล้ามเนื้อ
ซึ่งเราตัดออกไม่ได้
อาจต้องไปตัดเลื่อนกระดูกแทน
แต่ผลที่ได้จะไม่ดีเท่าปกติ
ยกเว้นว่า
คางหนาจากชั้นไขมัน
ซึ่งสามารถใช้การดูดไขมันได้
อีกกรณีหนึ่ง
ผิวหนังบุ๋มไม่เรียบมีร่องตรงกลาง
หรือที่เรียกคางแฉก
สามารถใช้การฉีดไขมันแก้ไขได้
กลับไปด้านบนสุด
ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด
1-2 ชั่วโมง
สำหรับการตัดเลื่อนกระดูก
ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
สำหรับการใส่คางเทียม
กลับไปด้านบนสุด |